Header

วิธีป้องกัน นิ่วในถุงน้ำดี โรคใกล้ตัว รักษาได้

  วิธีป้องกัน นิ่วในถุงน้ำดี โรคใกล้ตัว รักษาได้

    นิ่วในถุงน้ำดี คืออะไร นิ่วในถุงน้ำดี เป็นชิ้นส่วนของแข็งที่เกิดขึ้นในถุงน้ำดี โดยชิ้นส่วนเหล่านี้เกิดขึ้นจากส่วนประกอบของน้ำดี เช่นคอเลสเตอรอล และ บิลิรูบิน (สารให้สีในน้ำดี) เกิดการตกตะกอนเป็นผลึก มีลักษณะเป็นก้อน โดยก้อนนิ่วที่เกิดขึ้นนี้อาจมีขนาดเล็กๆ เท่ากับเม็ดทรายไปจนถึงขนาดเท่าไข่ไก่ และเกิดขึ้นก้อนเดียว ไปจนถึงหลายร้อยก้อน นิ่วในถุงน้ำดี เป็นโรคที่มักพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป และจะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 1-2 เท่า โดยผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูง, ผู้หญิงที่มีบุตรแล้ว, ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน, ผู้ที่มีภาวะโรคธาลัสซีเมีย โลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก จะมีโอกาสเป็นนิ่วในถุงน้ำดีมากกว่าคนสุขภาพปกติทั่วไป

นิ่วในถุงน้ำดี แบ่งได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ 

  1. นิ่วจากคอเลสเตอรอล (Cholesterol Stones) อาจเป็นสีเหลือง ขาว เขียวเกิดจากการตกตะกอนไขมันเนื่องจากคอเลสเตอรอลเพิ่มมากขึ้นในถุงน้ำดี
  2. นิ่วจากเม็ดสี (Pigment Stones) อาจเป็นสีคล้ำดำ เกิดจากความผิดปกติของเลือด โลหิตจาง และตับแข็ง
  3. นิ่วโคลน (Mixed Gallstones) เป็นคล้ายโคลน เหนียว หนืด เกิดจากการติดเชื้อใกล้ตับ ท่อน้ำดี และตับอ่อน

อาการที่พบบ่อย

  1. ปวดท้องด้านขวาบน หรือปวดลิ้นปี่ (มักปวดหลังอาหารมัน)
  2. แน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียน
  3. บางคน ไม่มีอาการ แต่ตรวจพบจากอัลตราซาวด์

*ถ้ามีไข้ ตัวเหลือง ตาเหลือง ปวดรุนแรง ควรพบแพทย์ทันที

วิธีป้องกันนิ่วในถุงน้ำดี

1. ปรับอาหาร

  • ลดอาหารมัน ทอด หนังสัตว์
  • เพิ่มผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี
  • เลือกไขมันดี เช่น ปลา ถั่ว อะโวคาโด (ในปริมาณเหมาะสม)

2. ควบคุมน้ำหนักอย่างถูกวิธี

  • อย่าลดน้ำหนักเร็วเกินไป
  • ลดแบบค่อยเป็นค่อยไป (0.5–1 กก./สัปดาห์)

3. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

  • ช่วยให้น้ำดีไม่เข้มข้นจนตกผลึก

4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

  • อย่างน้อย 30 นาที/วัน 3–5 วันต่อสัปดาห์

5. ตรวจสุขภาพ

  • โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง

ใครบ้างเสี่ยง

• อายุ 40 ปีขึ้นไป
• ผู้หญิง (ฮอร์โมนมีผล)
• อ้วน หรือ น้ำหนักขึ้น-ลงเร็ว
• ไม่ค่อยออกกำลังกาย
• กินอาหารมัน/ทอดบ่อย
• เป็นเบาหวาน หรือไขมันในเลือดสูง

การตรวจวินิจฉัยโรค นิ่วในถุงน้ำดี

     โดยทั่วไปการตรวจวินิจฉัยโรคนิ่วในถุงน้ำดี จะเป็นการการพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อทำการตรวจวินิจฉัยโดยการทำอัลตราซาวนด์ช่องท้องส่วนบน ซึ่งเป็นการตรวจที่เพียงพอในการตรวจว่ามีนิ่วในถุงน้ำดีหรือไม่ หรืออาจมีภาวะถุงน้ำดีอักเสบ แต่ในบางกรณี เช่น การตรวจหานิ่วในท่อน้ำดี หรือการวินิจฉัยภาวะตับอ่อนอักเสบ อาจจำเป็นต้องใช้การตรวจทางรังสีชนิดพิเศษ เช่น การทำเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ (X-ray) หรือ การตรวจโดยเครื่องเอ็กซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)ในผู้ป่วยรายที่สามารถทำการผ่าตัดได้ แนะนำให้ “ผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออก” เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน และการกลับเป็นซ้ำของโรค “นิ่วในถุงน้ำดี” ซึ่งถือเป็นวิธีการรักษามาตรฐานในการรักษาโรค

“นิ่วในถุงน้ำดี”โดยการผ่าตัดสามารถ แบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ

1. การผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง ในกรณีที่มีอาการอักเสบมาก หรือมีภาวะเป็นหนอง โดยการเปิดช่องท้องบริเวณใต้ชายโครงด้านขวายาวประมาณ 6 – 7 เซนติเมตรโดยเฉลี่ย การผ่าตัดวิธีนี้ผู้ป่วยจะต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลประมาณ 4 วันและต้องพักฟื้นหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลอีกประมาณ 2-3 สัปดาห์

2. การผ่าตัดผ่านกล้อง (Laparoscopic Surgery) ซึ่งแพทย์จะทำการเจาะรูขนาดเล็กบริเวณหน้าท้อง เพื่อส่องกล้องให้เห็นภาพทุกมิติแล้วจึงตัดขั้วและเลาะถุงน้ำดีให้หลุดออกการผ่าตัดผ่านกล้องเป็นการผ่าตัดสมัยใหม่ที่ทำให้แผลมีขนาดเล็ก เจ็บน้อย ลดการติดเชื้อ และฟื้นตัวได้เร็ว เมื่อผ่าตัดนำถุงน้ำดีออกไปแล้ว ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับกระบวนการย่อยอาหารแต่ควรลดอาหาร ที่มีความมันสูง และรับประทานผักและเนื้อปลามากขึ้นเพื่อให้ห่างไกลจากอาการท้องอืดและมีสุขภาพดีในระยะยาวต่อไป

 

 

 

 

 


 

 

มีคำถามเกี่ยวกับ โรค นิ่วในถุงน้ำดี?

สอบถามฟรี รับคำตอบได้ทันที ทางช่องทาง LINE เพื่อความสบายใจของคุณ
 


 


 

ช่องทางการซื้อแพ็กเกจและโปรโมชั่น

 

 




 

สามารถปรึกษาได้ที่ รงพยาบาลพริ้นซ์ อุทัยธานี
โทร 05-604-9899  "ไม่ต้องห่วง ให้เราช่วยดูแล" 
 

 

ขอคำปรึกษา คลิก

 

 

 



ศูนย์การรักษาที่เกี่ยวข้อง

แผนกอายุรกรรม

สถานที่

ชั้น 1

เวลาทำการ

ทุกวัน : 07.00-16.00น.

เบอร์ติดต่อ

056-049899 ต่อ 580101