Header

ออฟฟิศซินโดรม ภัยเงียบของคนทำงานยุคใหม่ รู้ทัน ป้องกัน และรักษาได้ ที่โรงพยาบาลพริ้นซ์ อุทัยธานี

29 กรกฎาคม 2568

ออฟฟิศซินโดรม ภัยเงียบของคนทำงานยุคใหม่ รู้ทัน ป้องกัน และรักษาได้ ที่โรงพยาบาลพริ้นซ์ อุทัยธานี

     ในยุคดิจิทัลที่การทำงานแบบนั่งโต๊ะ (Desk Job) กลายเป็นเรื่องปกติ ภาวะสุขภาพหนึ่งที่กำลังคุกคามคนทำงานจำนวนมากคือ "ออฟฟิศซินโดรม" (Office Syndrome)

     ออฟฟิศซินโดรมไม่ใช่แค่เพียงอาการปวดเมื่อยธรรมดา แต่เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากการทำงานในอิริยาบถเดิมซ้ำๆ เป็นเวลานาน ขาดการเคลื่อนไหวร่างกาย การจัดสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่เหมาะสม หรือการมีความเครียดสะสม ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบกล้ามเนื้อและกระดูกโดยตรง และหากปล่อยไว้อาจนำไปสู่ภาวะเรื้อรังที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและการทำงานได้
 

ทำความเข้าใจ "ออฟฟิศซินโดรม" คืออะไร?

     ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) เป็นกลุ่มอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ซึ่งไม่ได้เป็นโรคใดโรคหนึ่งโดยเฉพาะ แต่เป็นภาวะที่รวมเอาอาการปวดเมื่อย อักเสบ หรือชาของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ข้อต่อ และเส้นประสาท ที่เกิดจากการทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานาน หรือการใช้ร่างกายในอิริยาบถซ้ำๆ โดยไม่มีการพักผ่อนหรือปรับเปลี่ยนท่าทางที่เหมาะสม
 

กลไกการเกิดอาการ

  1. การเกร็งตัวของกล้ามเนื้อซ้ำๆ เมื่อเรานั่งทำงานในท่าเดิมเป็นเวลานาน กล้ามเนื้อบางส่วน เช่น กล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ จะต้องทำงานหนักและเกร็งตัวอยู่ตลอดเวลา เพื่อพยุงศีรษะและลำตัว
  2. การกดทับของเส้นประสาท การเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ หรือท่าทางที่ไม่เหมาะสม เช่น การนั่งไขว่ห้าง การวางแขนที่ไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดการกดทับของเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการชา หรืออ่อนแรงได้
  3. การไหลเวียนเลือดไม่สะดวก การนั่งอยู่กับที่นานๆ โดยไม่มีการเคลื่อนไหว ทำให้การไหลเวียนของเลือดในบริเวณที่ใช้งานหนักลดลง ส่งผลให้กล้ามเนื้อขาดออกซิเจนและสารอาหาร เกิดการสะสมของของเสีย ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยและอ่อนล้า
  4. ความเสื่อมของโครงสร้างร่างกาย หากปล่อยให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวและเกิดการอักเสบเรื้อรังเป็นเวลานาน อาจนำไปสู่ความเสื่อมของกระดูกสันหลัง หมอนรองกระดูก และข้อต่อต่างๆ ได้
  5. ปัจจัยเสริม เช่น แสงสว่างไม่เพียงพอ เสียงดัง อากาศถ่ายเทไม่สะดวก จิตใจไม่สบาย เครียด วิตกกังวล นอนไม่หลับ ก็ล้วนเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้อาการแย่ลงได้
     

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดออฟฟิศซินโดรม

     มะเร็งเต้านมในระยะเริ่มต้นมักไม่แสดงอาการเจ็บปวดใดๆ ทำให้หลายคนละเลย กว่าจะรู้ตัวก็ต่อเมื่อโรคดำเนินไปมากแล้ว อย่างไรก็ตาม หากหมั่นสังเกตตัวเอง จะพบสัญญาณเตือนเหล่านี้ได้

1. พฤติกรรมการทำงานที่ไม่เหมาะสม

  • นั่งทำงานในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง หลังงอ ไหล่ห่อ ก้มหน้ามากเกินไป วางแขนไม่ถูกหลัก
  • นั่งทำงานนานเกินไป ไม่มีการลุกเดิน หรือเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ
  • การใช้เมาส์หรือคีย์บอร์ดซ้ำๆ เช่น การพิมพ์งาน หรือการคลิกเมาส์เป็นเวลานาน
  • การถือโทรศัพท์แนบไหล่ ขณะที่มือยังคงทำงาน

2. สภาพแวดล้อมการทำงาน

  • โต๊ะ เก้าอี้ที่ไม่เหมาะสม ไม่สามารถปรับระดับให้เข้ากับสรีระร่างกายได้
  • จอคอมพิวเตอร์ ระดับความสูงไม่พอดี ระยะห่างไม่เหมาะสม
  • แสงสว่างไม่เพียงพอ ทำให้ต้องเพ่งสายตา
  • อากาศไม่ถ่ายเท

3. ปัจจัยส่วนบุคคล:

  • ขาดการออกกำลังกาย ทำให้กล้ามเนื้อไม่แข็งแรงและขาดความยืดหยุ่น
  • ความเครียดสะสม ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวโดยไม่รู้ตัว
  • การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ
  • โรคประจำตัวบางชนิด เช่น เบาหวาน ไทรอยด์ ที่ส่งผลต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
     

อาการของ "ออฟฟิศซินโดรม" สังเกตอย่างไร?

     ออฟฟิศซินโดรมมักแสดงอาการได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของร่างกายที่ได้รับผลกระทบ โดยอาการจะเริ่มจากเล็กน้อยและค่อยๆ รุนแรงขึ้นหากไม่ได้รับการแก้ไข

1. อาการทางระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ (พบบ่อยที่สุด)

  • ปวดคอ บ่า ไหล่ เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด อาจปวดเมื่อย เจ็บตึง หรือมีอาการปวดร้าวไปที่ศีรษะ ทำให้ปวดหัวเรื้อรังได้
  • ปวดหลัง โดยเฉพาะบริเวณหลังส่วนบน หรือหลังส่วนล่าง อาจปวดร้าวลงสะโพก หรือขาได้
  • ปวดข้อมือ ข้อศอก แขน เช่น อาการปวดข้อศอกด้านนอก (Tennis Elbow) หรือด้านใน (Golfer's Elbow), อาการชา หรือปวดบริเวณข้อมือจากพังผืดทับเส้นประสาท (Carpal Tunnel Syndrome)
  • ปวดสะโพก ก้นกบ จากการนั่งนานๆ หรือนั่งทับเส้นประสาท
  • อาการปวดกล้ามเนื้อเฉพาะจุด คลำพบก้อนแข็ง หรือจุดกดเจ็บ (Trigger Point) ในกล้ามเนื้อ เมื่อกดจะเจ็บมากและอาจร้าวไปที่อื่น

2. อาการทางระบบประสาท

  • อาการชา มักพบที่นิ้วมือ ฝ่ามือ หรือแขน จากการกดทับเส้นประสาท
  • อาการอ่อนแรง กล้ามเนื้ออ่อนแรงลง เช่น กำมือไม่ถนัด ยกแขนไม่ขึ้น
  • ปวดร้าว อาการปวดที่ร้าวจากต้นคอลงแขน หรือจากหลังลงขา ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการกดทับเส้นประสาทไขสันหลัง หรือหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท

3. อาการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

  • ปวดศีรษะเรื้อรัง มักเป็นอาการปวดตึงที่ท้ายทอย ร้าวขึ้นไปขมับ หรือกระบอกตา
  • ตาล้า ตาพร่า ตาแห้ง จากการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
  • เวียนศีรษะ บ้านหมุน
  • นอนไม่หลับ เนื่องจากอาการปวด
  • อารมณ์หงุดหงิด เครียดง่าย จากความไม่สบายกาย
  • ความสามารถในการทำงานลดลง ขาดสมาธิ ประสิทธิภาพการทำงานลดลง

    *หากคุณมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นประจำ โดยเฉพาะหลังจากทำงาน ควรตระหนักว่าคุณกำลังเผชิญกับออฟฟิศซินโดรม และไม่ควรปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา เพราะอาการเหล่านี้สามารถพัฒนาไปสู่ภาวะเรื้อรังที่รักษายากขึ้นได้
     

การวินิจฉัยและการรักษา "ออฟฟิศซินโดรม": กายภาพบำบัดคือทางออก

     การวินิจฉัยออฟฟิศซินโดรมมักทำโดยแพทย์ หรือนักกายภาพบำบัด จากการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจประเมินท่าทางการทำงาน ส่วนการรักษาจะเน้นที่การบรรเทาอาการ การแก้ไขต้นเหตุ และการป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ

1. การวินิจฉัย

  • การซักประวัติ แพทย์หรือนักกายภาพบำบัดจะสอบถามเกี่ยวกับลักษณะงาน ท่าทางการทำงาน ระยะเวลาที่นั่งทำงาน อาการที่เกิดขึ้น ตำแหน่งที่ปวด ความถี่ และความรุนแรงของอาการ
  • การตรวจร่างกาย ตรวจประเมินกล้ามเนื้อ โครงสร้างกระดูก ความยืดหยุ่น การเคลื่อนไหวของข้อต่อต่างๆ คลำหาจุดกดเจ็บ หรือกล้ามเนื้อที่เกร็งตัว
  • การประเมินท่าทางการทำงาน (Ergonomics Assessment) เป็นการประเมินสภาพแวดล้อมและท่าทางการทำงานของผู้ป่วย เพื่อหาสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ
  • การตรวจทางรังสีวิทยา (X-ray, MRI) ในบางกรณี หากสงสัยว่าอาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท หรือมีความผิดปกติของโครงสร้างกระดูก แพทย์อาจพิจารณาส่งตรวจเพิ่มเติม

2. แนวทางการรักษาที่แผนกกายภาพบำบัด โรงพยาบาลพริ้นซ์ อุทัยธานี

     การรักษาออฟฟิศซินโดรมที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ควรเน้นไปที่การแก้ไขสาเหตุและฟื้นฟูความสมดุลของร่างกาย ซึ่ง แผนกกายภาพบำบัด มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ ที่โรงพยาบาลพริ้นซ์ อุทัยธานี เรามีทีม นักกายภาพบำบัด และเครื่องมือที่ทันสมัย พร้อมให้บริการดูแลท่านอย่างครบวงจร

  • การรักษาด้วยเครื่องมือทางกายภาพบำบัด
    เครื่องอัลตราซาวด์ (Ultrasound Therapy) ใช้คลื่นเสียงความถี่สูง เพื่อลดการอักเสบ เพิ่มการไหลเวียนเลือด และคลายกล้ามเนื้อ
    - เครื่องกระตุ้นไฟฟ้า (Electrical Stimulation Therapy) ช่วยลดปวด ลดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ และฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
    - เครื่องเลเซอร์กำลังสูง (High Power Laser Therapy) ช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อในระดับเซลล์
    - เครื่อง PMS หรือ Peripheral Magnetic Stimulation เป็นเครื่องมือที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการกระตุ้นระบบประสาทและกล้ามเนื้อ เพื่อบำบัดอาการปวด ชา และฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกาย โดยสามารถลงลึกได้ถึงเนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อ และกระดูก
    - เครื่อง Shockwave หรือ คลื่นกระแทก ที่ส่งผ่านพลังงานไปยังบริเวณที่บาดเจ็บ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซ่อมแซมเนื้อเยื่อใหม่ ลดอาการปวด และเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดเรื้อรัง หรืออาการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อและเส้นเอ็น เช่น ออฟฟิศซินโดรม, รองช้ำ, ข้อศอกอักเสบ
    - การประคบร้อน/เย็น (Hot/Cold Pack) ช่วยลดปวด ลดบวม และผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

การรักษาด้วยมือ (Manual Therapy)

  • การนวดบำบัด (Therapeutic Massage): เพื่อคลายกล้ามเนื้อที่เกร็งตัว ลดจุดกดเจ็บ และเพิ่มการไหลเวียนเลือด
  • ารดัดดึงข้อต่อ (Joint Mobilization/Manipulation): เพื่อเพิ่มพิสัยการเคลื่อนไหวของข้อต่อที่ติดขัด
  • การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ (Stretching): โดยนักกายภาพบำบัด เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็น

การออกกำลังกายบำบัด (Therapeutic Exercise)

  • การบริหารเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว กล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ เพื่อให้สามารถพยุงร่างกายและรองรับการทำงานได้ดีขึ้น
  • การบริหารเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น ท่าทางการยืดเหยียดที่ถูกต้องและเหมาะสม
  • การฝึกปรับท่าทาง (Postural Training) นักกายภาพบำบัดจะสอนและแนะนำท่าทางการนั่ง ยืน เดิน ที่ถูกต้องเหมาะสมกับสรีระและการทำงาน
  • การปรับท่าทางการทำงาน (Ergonomic Modification) ให้คำแนะนำในการจัดโต๊ะ เก้าอี้ จอคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่างๆ ให้เหมาะสมกับสรีระของผู้ป่วย เพื่อลดภาระของร่างกายและป้องกันการเกิดซ้ำ

การให้ความรู้และคำแนะนำ (Education and Advice)

  • แนะนำท่าทางการพักเบรกระหว่างวัน หรือการบริหารร่างกายง่ายๆ ที่ทำได้ระหว่างทำงาน
  • แนะนำวิธีการปรับพฤติกรรม เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดออฟฟิศซินโดรม
  • แนะนำการดูแลตนเองที่บ้าน

3. การรักษาอื่นๆ ที่อาจจำเป็น

  • การใช้ยา
    - ยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล หรือยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เพื่อบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบ
    - ยาคลายกล้ามเนื้อ เพื่อลดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ
  • การฉีดยา ในบางกรณีที่อาการรุนแรง หรือมีจุดกดเจ็บเฉพาะที่ แพทย์อาจพิจารณาฉีดยาเข้าไปในบริเวณที่มีปัญหา เช่น การฉีดโบทอกซ์ หรือสารสเตียรอยด์ (ตามดุลยพินิจของแพทย์)

    *สิ่งสำคัญคือการรักษาที่แผนกกายภาพบำบัด ไม่เพียงช่วยบรรเทาอาการปวด แต่ยังช่วยแก้ไขต้นเหตุของปัญหา ทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปทำงานและใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ ลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำในระยะยาว
     

การป้องกัน "ออฟฟิศซินโดรม": เคล็ดลับเพื่อสุขภาพที่ดีของคนทำงาน

     การป้องกันออฟฟิศซินโดรมเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะการแก้ไขพฤติกรรมตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการ และช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว

1. ปรับท่าทางการทำงานให้ถูกต้องตามหลัก Ergonomics

  • ท่านั่ง
    - หลังตรงแนบพนักพิง ควรใช้เก้าอี้ที่มีพนักพิงรองรับหลังส่วนล่าง และสามารถปรับระดับได้
    - เท้าแตะพื้นราบ หรือวางบนที่พักเท้า เพื่อให้สะโพกและเข่าทำมุม 90-100 องศา
    - เข่าอยู่ระดับเดียวกับสะโพก หรือต่ำกว่าเล็กน้อย
    - ข้อศอกทำมุม 90 องศา วางแขนบนที่วางแขน หรือบนโต๊ะ เพื่อลดภาระที่ไหล่และคอ

  • ระดับจอคอมพิวเตอร์
    - ขอบบนของจออยู่ระดับสายตา หรือต่ำกว่าเล็กน้อย เพื่อไม่ต้องก้มหน้า
    - ระยะห่างจากหน้าจอ ประมาณ 1 ช่วงแขน (50-70 เซนติเมตร)

  • แป้นพิมพ์และเมาส์:
    - วางให้ใกล้ตัว เพื่อให้ข้อศอกอยู่ในมุม 90 องศา
    - ข้อมือตรง ไม่หักข้อมือขึ้นหรือลง
    - ใช้เมาส์และคีย์บอร์ดที่เหมาะสมกับสรีระ

2. ลุกเปลี่ยนอิริยาบถและพักเบรกเป็นประจำ

  • พักทุก 20-30 นาที ลุกเดิน ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ หรือพักสายตาเป็นเวลาสั้นๆ
  • พักใหญ่ทุก 1-2 ชั่วโมง ลุกไปเข้าห้องน้ำ ดื่มน้ำ หรือเดินออกกำลังกายเบาๆ

3. บริหารร่างกายและยืดเหยียดกล้ามเนื้ออย่างสม่ำเสมอ:

  • ท่าบริหารคอ บ่า ไหล่ เช่น ก้มเงยคอ หมุนคอ เอียงคอ สลับซ้ายขวา ยกไหล่ขึ้นลง หมุนหัวไหล่
  • ท่าบริหารข้อมือและมือ หมุนข้อมือ กำมือแบมือ ยืดเหยียดนิ้วมือ
  • ท่าบริหารหลัง ก้มแตะปลายเท้า ยืดเหยียดหลังส่วนบน
  • การออกกำลังกายทั่วไป เดิน วิ่ง โยคะ ว่ายน้ำ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและเพิ่มความยืดหยุ่น

4. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

  • ช่วยให้ร่างกายทำงานได้ดี และรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกาย

5. พักผ่อนให้เพียงพอและจัดการความเครียด

  • การนอนหลับที่มีคุณภาพ ช่วยให้กล้ามเนื้อและร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเอง
  • หากิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด เช่น ฟังเพลง อ่านหนังสือ ทำสมาธิ

6. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงอื่นๆ

  • ไม่นั่งไขว่ห้างนานๆ
  • ไม่ใช้ไหล่หนีบโทรศัพท์ขณะทำงาน
  • ไม่สะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว


เมื่อไหร่ที่ควรมาปรึกษาแพทย์ หรือนักกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลพริ้นซ์ อุทัยธานี?

     หากคุณมีอาการที่เข้าข่ายออฟฟิศซินโดรม และอาการเหล่านี้เริ่มรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน หรือการทำงานของคุณ ไม่ควรรอช้า ควรรีบมาปรึกษาแพทย์ หรือนักกายภาพบำบัด ที่โรงพยาบาลพริ้นซ์ อุทัยธานี ทันที

  • มีอาการปวดเรื้อรัง ปวดคอ บ่า ไหล่ หลัง แขน ข้อมือ หรือส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ที่ไม่หายไปเอง หรือเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ
  • มีอาการชา หรืออ่อนแรง โดยเฉพาะบริเวณมือ แขน หรือขา
  • มีจุดกดเจ็บ หรือก้อนแข็งในกล้ามเนื้อ
  • อาการปวดรบกวนการนอนหลับ
  • ประสิทธิภาพการทำงานลดลง
  • คุณพยายามปรับเปลี่ยนท่าทางแล้ว แต่อาการยังไม่ดีขึ้น
  • ต้องการคำแนะนำในการจัดสภาพแวดล้อมการทำงาน (Ergonomics) ที่ถูกต้อง
     

 

ที่โรงพยาบาลพริ้นซ์ อุทัยธานี เรามีแผนกกายภาพบำบัดที่ได้มาตรฐาน พร้อมด้วยนักกายภาพบำบัดผู้มีประสบการณ์ และเครื่องมือที่ทันสมัย เราพร้อมที่จะประเมินอาการ วางแผนการรักษาที่เหมาะสม และให้คำแนะนำในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อให้คุณกลับมามีสุขภาพที่ดี หายจากอาการปวด และใช้ชีวิตการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความสุข

 

 


 

 

มีคำถามเกี่ยวกับ ออฟฟิตซินโดรม ?

สอบถามฟรี รับคำตอบได้ทันที ทางช่องทาง LINE เพื่อความสบายใจของคุณ
 


 


 

ช่องทางการซื้อแพ็กเกจและโปรโมชั่น

 

 




 

ออฟฟิศซินโดรมเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในคนทำงานยุคปัจจุบัน เกิดจากพฤติกรรมการทำงานที่ไม่เหมาะสมและการขาดการดูแลตนเอง
แม้จะไม่ใช่โรคร้ายแรงถึงชีวิต แต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา ก็อาจนำไปสู่ภาวะปวดเรื้อรัง และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและการทำงานได้
สามารถปรึกษาได้ที่ รงพยาบาลพริ้นซ์ อุทัยธานี
โทร 05-604-9899  "ไม่ต้องห่วง ให้เราช่วยดูแล" 
 

 

ขอคำปรึกษา คลิก

 

 

 

อ้างอิง :



ศูนย์การรักษาที่เกี่ยวข้อง

แผนกกายภาพบำบัด

สถานที่

ชั้น 2

เวลาทำการ

จ-ศ : 08.00-20.00น. ส-อา : 08.00-18.00น.

เบอร์ติดต่อ

056-049899 ต่อ 581301