รู้ทัน โควิด-19 ปี 2568 การป้องกัน อาการ และวิธีการรักษา
02 มิถุนายน 2568

โควิด-19 หรือโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ยังคงเป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและชีวิตประจำวันของเราอย่างต่อเนื่อง แม้สถานการณ์การระบาดจะผ่อนคลายลงและกลายเป็นโรคประจำถิ่น แต่การกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสทำให้เกิดสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่อาจมีลักษณะอาการและความสามารถในการแพร่กระจายที่แตกต่างกันไป โดยพบว่าสายพันธุ์โอมิครอนและสายพันธุ์ย่อยยังคงเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาด การตระหนักถึงอาการของโรค แนวทางการป้องกันที่เหมาะสม และวิธีการรักษาที่ถูกต้อง จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่เราทุกคนควรทำความเข้าใจ เพื่อปกป้องตนเองและคนที่คุณรักจากโรคนี้
โควิด-19 ในปี 2568 ยังคงเป็นโรคที่ต้องระวัง
แม้ว่าในปี 2568 จำนวนผู้ป่วยโควิด-19 อาการรุนแรงและผู้เสียชีวิตจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับช่วงแรกของการระบาด แต่ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขและกรมควบคุมโรคของประเทศไทยยังคงรายงานการพบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่เป็นประจำ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงาน เด็กเล็ก และผู้สูงอายุ และพบว่า เชื้อโอมิครอน JN.1 ยังคงเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในประเทศไทย ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอน นอกจากนี้ยังมีการเฝ้าระวังสายพันธุ์ XEC ที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว แม้จะมีอาการไม่รุนแรงมากนักในผู้ป่วยทั่วไป แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังในกลุ่มเสี่ยง
อาการของโควิด-19 สายพันธุ์ปัจจุบัน (ปี 2568)
อาการของโควิด-19 ในปัจจุบัน โดยเฉพาะสายพันธุ์โอมิครอนและสายพันธุ์ย่อยอื่น มักมีความคล้ายคลึงกับไข้หวัดทั่วไปหรือไข้หวัดใหญ่ ทำให้บางคนอาจสับสนหรือไม่แน่ใจว่าเป็นอาการของโควิด-19 หรือไม่ อาการที่พบบ่อย ได้แก่
- มีไข้ หรือรู้สึกหนาวสั่น อาจมีไข้ต่ำๆ ถึงไข้สูง (รู้สึกร้อนที่หน้าอกหรือหลัง)
- เจ็บคอ คอแห้ง หรือคันคอ เป็นอาการที่พบได้บ่อย
- ไอ อาจเป็นไอแห้ง หรือมีเสมหะ ไอต่อเนื่อง หรือไอหลายครั้ง
- คัดจมูก มีน้ำมูกไหล
- ปวดศีรษะ อาจปวดเมื่อยตามร่างกายร่วมด้วย
- อ่อนเพลีย ไม่มีแรง รู้สึกเหนื่อยง่าย
- คลื่นไส้ อาเจียน พบได้ในบางราย
- ท้องเสีย พบได้ในบางราย
- เบื่ออาหาร
- การรับกลิ่นหรือรับรสเปลี่ยนแปลง หรือสูญเสียไป แม้จะพบน้อยลงในสายพันธุ์ปัจจุบัน แต่ก็ยังอาจเกิดขึ้นได้ในบางราย
- ตาแดง
- มีผื่นขึ้นตามผิวหนัง
- นิ้วมือหรือนิ้วเท้าเปลี่ยนสี
ข้อสังเกตสำคัญ: ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรงหรือแสดงอาการเพียงเล็กน้อย และมักไม่มีอาการลงปอดจนน่ากังวลเหมือนสายพันธุ์ดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม กลุ่มเปราะบางหรือกลุ่ม 608 (ผู้สูงอายุ, ผู้มีโรคประจำตัว, หญิงตั้งครรภ์) ยังคงต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะมีความเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงได้มากกว่า
การป้องกันโควิด-19 ในปี 2568
- การสวมหน้ากากอนามัย
- ในพื้นที่ปิดหรือมีคนหนาแน่น เช่น รถขนส่งสาธารณะ โรงพยาบาล สถานที่ราชการ หรือสถานที่ที่มีการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก
- เมื่อมีอาการป่วยระบบทางเดินหายใจ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่น
- ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ หรือผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เมื่อต้องอยู่ในที่สาธารณะ - การล้างมือบ่อยๆ
- ด้วยสบู่และน้ำ หรือเจลแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้น 70% ขึ้นไป
- โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนรับประทานอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ หลังไอ จาม หรือสัมผัสสิ่งของสาธารณะ - หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า โดยเฉพาะตา จมูก และปาก โดยไม่จำเป็น
- รักษาระยะห่างทางสังคม ในที่สาธารณะและพื้นที่แออัด หากเป็นไปได้
- ตรวจ ATK (Antigen Test Kit) หากมีอาการเข้าข่าย หรือหากมีประวัติสัมผัสผู้ติดเชื้อ เพื่อให้ทราบผลและปฏิบัติตนได้อย่างเหมาะสม
- พักผ่อนให้เพียงพอ และดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย
วัคซีนโควิด-19 ในปี 2568 ยังคงมีความสำคัญ
ในปี 2568 วัคซีนโควิด-19 ยังคงมีบทบาทสำคัญในการป้องกันและควบคุมโรค โดยเฉพาะวัคซีนรุ่นใหม่ที่ครอบคลุมสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอน เช่น เชื้อโอมิครอน JN.1 ที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้ใช้ เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันและลดความรุนแรงของโรค กลุ่มเสี่ยงที่ควรได้รับวัคซีนโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ได้แก่
- กลุ่มผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป)
- กลุ่มผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง หรือมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน โรคมะเร็ง และโรคเบาหวาน
- สตรีตั้งครรภ์
- บุคลากรทางการแพทย์
ประโยชน์ของการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่
- ป้องกันการติดเชื้อโควิด-19
- ลดโอกาสการเกิดภาวะ Long COVID
- ลดอัตราการเจ็บป่วยด้วยอาการรุนแรง
- ลดอัตราการนอนโรงพยาบาล
- ลดความรุนแรงของโรคโดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง การเข้าถึงวัคซีนยังคงเป็นไปตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลและเข้ารับบริการได้ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน
แนวทางการรักษาเบื้องต้นสำหรับผู้ป่วยอาการไม่รุนแรง
- การรักษาตามอาการ เช่น รับประทานยาพาราเซตามอลเมื่อมีไข้ ใช้ยาแก้ไอเมื่อมีอาการไอ ยาละลายเสมหะ ยาแก้แพ้ เมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ดื่มน้ำมากๆ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- แยกกักตัว เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น ตามคำแนะนำของแพทย์หรือแนวปฏิบัติของกระทรวงสาธารณสุข ผู้ป่วยที่แยกกักตัว 5 วัน ยังมีโอกาสตรวจพบเชื้อได้ถึง 50% ดังนั้นควรระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
- ปรึกษาแพทย์ เพื่อรับคำแนะนำการดูแลตนเอง
กรณีที่ควรไปพบแพทย์หรือเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
- มีไข้สูงต่อเนื่อง หายใจหอบเหนื่อย
- หายใจลำบาก เจ็บแน่นหน้าอก
- อาการแย่ลง หรือไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน
- อยู่ในกลุ่ม 608 และมีอาการแม้เพียงเล็กน้อย
ยาต้านไวรัส การพิจารณาให้ ยาต้านไวรัสโควิด (เช่น Favipiravir, Molnupiravir, Paxlovid) จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ โดยพิจารณาจากอาการ ความรุนแรงของโรค และปัจจัยเสี่ยงของผู้ป่วย โดยมีเป้าหมายเพื่อให้การใช้ยาเป็นไปอย่างเหมาะสม ปลอดภัย และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อประชาชน การรับมือกับ "Long COVID" แม้ว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายจากโควิด-19 ได้โดยไม่มีอาการหลงเหลือ แต่บางรายอาจประสบภาวะ "Long COVID" หรือภาวะอาการหลังป่วยโควิด-19 ซึ่งอาจมีอาการต่อเนื่องยาวนานเป็นสัปดาห์หรือหลายเดือนหลังหายจากการติดเชื้อเฉียบพลัน อาการที่พบบ่อย ได้แก่
- อ่อนเพลียเรื้อรัง
- หายใจลำบาก หรือหายใจไม่อิ่ม
- ไอเรื้อรัง
- ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว
- สมองล้า (Brain fog) ปัญหาด้านความจำ สมาธิ
- ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล
- นอนไม่หลับ
- ผมร่วง
- การรับกลิ่นและรสผิดปกติ
โควิด-19 ในปี 2568 ยังคงเป็นโรคที่เราต้องเฝ้าระวังและปรับตัวอยู่ร่วมกับมัน การทำความเข้าใจอาการของโรค การปฏิบัติตามมาตรการป้องกันพื้นฐานอย่างสม่ำเสมอ และการเข้ารับวัคซีนตามคำแนะนำ ยังคงเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ การเจ็บป่วยรุนแรง และการเสียชีวิต หากมีอาการที่น่าสงสัย ควรรีบตรวจหาเชื้อและปรึกษาแพทย์ เพื่อให้ได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ผ่านการฉีดวัคซีนและการดูแลสุขภาพตนเองอย่างดีที่สุด คือการปกป้องตนเองและสังคมให้ปลอดภัยจากโรคนี้
มีคำถามเกี่ยวกับ Covid-19 ?
สอบถามฟรี รับคำตอบได้ทันที ทางช่องทาง LINE เพื่อความสบายใจของคุณ
ช่องทางการซื้อแพ็กเกจและโปรโมชั่น
"โควิด-19 ในปี 2568 ยังคงเป็นโรคที่เราต้องเฝ้าระวังและปรับตัวอยู่ร่วมกับมัน การทำความเข้าใจอาการของโรค การปฏิบัติตามมาตรการป้องกันพื้นฐานอย่างสม่ำเสมอ และการเข้ารับวัคซีนตามคำแนะนำ ยังคงเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ การเจ็บป่วยรุนแรง และการเสียชีวิต หากมีอาการที่น่าสงสัย ควรรีบตรวจหาเชื้อและปรึกษาแพทย์ เพื่อให้ได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ผ่านการฉีดวัคซีนและการดูแลสุขภาพตนเองอย่างดีที่สุด คือการปกป้องตนเองและสังคมให้ปลอดภัยจากโรคนี้
สามารถปรึกษาได้ที่ โรงพยาบาลพริ้นซ์ อุทัยธานี
โทร 05-604-9899 "ไม่ต้องห่วง ให้เราช่วยดูแล"
อ้างอิง :
- โรงพยาบาล พริ้นซ์ ปากน้ำโพ : www.princpaknampo.com
ศูนย์การรักษาที่เกี่ยวข้อง
แผนกอายุรกรรม
สถานที่
ชั้น 1
เวลาทำการ
ทุกวัน : 07.00-16.00น.
เบอร์ติดต่อ
056-049899 ต่อ 580101